วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ระหว่างโลกกับเทคโนโลยี

ศาลพิพากษาคดีเอสเอ็มเอส "อากง" ชี้ผิดกม.หมิ่นฯ-พ.ร.บ.คอมพ์ ลงโทษจำคุก 20 ปี Written by nopparat Thursday, 24 November 2011 12:11
                      เว็บไซต์ประชาไทรายงานข่าวเบื้องต้นจากศาลอาญา รัชดา ว่า วันนี้ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่นายอำพล (สงวนนามกุล) อายุ 61 ปี หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า "อากง" ซึ่งถูกฟ้องว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยข้อกล่าวหาว่าส่งเอสเอ็มเอสที่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปยังโทรศัพท์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี
                    
                      ศาลพิพากษ์ว่าจำเลยกระทำความผิดจริงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มาตรา 14 อนุ 2 และ 3 ลงโทษจำคุก 20 ปี
                      ทั้งนี้ ศาลใช้วิธีอ่านคำพิพากษาผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เนื่องไม่สามารถนำตัวจำเลยมาฟังคำพิพากษาได้เพราะน้ำท่วมเรือนจำ หลังฟังคำพิพากษา ภรรยา ลูกและหลานๆ ของนายอำพลพากันร่ำไห้ ขณะที่มีประชาชนผู้สนใจคดีดังกล่าวร่วมฟังคำพิพากษาราว 30 คน

                       สำหรับรายละเอียดการพิพากษา ผู้สื่อข่าวประชาไทรายงานว่า ผู้พิพากษา ชนาธิป เหมือนพะวงศ์ ขึ้นบังลังค์เวลา 10.25 น. ที่ห้องเวรชี้ ชั้นล่างของศาลอาญา ศาลพิพากษาว่า ข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ที่โจทก์ได้จาก DTAC และ TRUE นั้นเป็นหลักฐานที่ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องจัดเก็บโดยระบบคอมพิวเตอร์ตามที่กฎหมายกำหนด หากผู้ให้บริการจัดเก็บไม่ถูกต้องลูกค้าย่อมไม่เชื่อถือ อาจเสียประโยชน์ทางธุรกิจได้ ดังนั้นจึงถือว่าหลักฐานข้อมูลจราจรคอมพิวเตอร์ที่ได้รับถือเป็นเอกสารที่น่าเชื่อถือ
                       สำหรับประเด็นสำคัญในคดีที่จำเลยตั้งประเด็นว่า หมายเลขอีมี่ หรือรหัสประจำเครื่องโทรศัพท์อาจถูกปลอมแปลงได้นั้น จำเลยไม่สามารถหาตัวผู้เชี่ยวชาญมายืนยันได้ ส่วนประเด็นที่ว่า เอกสารในสำนวนฟ้องที่หมายเลขอีมี่หลักที่ 15 ไม่ตรงกับหมายเลขอีมี่ในเครื่องโทรศัพท์ คือในเอกสารบางจุดแสดงว่าเป็นเลข 0 บางจุดแสดงว่าเป็นเลข 2000 ขณะที่ในเครื่องโทรศัพท์จริงๆ เป็นเลข 6 ศาลวิเคราะห์ว่า หมายเลขอีมี่ 14 หลักแรกเท่านั้นที่มีความสำคัญ ตามที่พ.ต.อ.ศิริพงษ์ ติมุลา จากกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เบิกความและได้พิสูจน์ด้วยการใช้เว็บไซต์สำหรับตรวจสอบเลขอีมี่แสดงให้เห็นในศาลแล้วว่า เมื่อพิมพ์รหัส 14 หลักแรกตามด้วยรหัสสุดท้ายหมายเลข 6 จะปรากฏข้อมูลว่าเป็นเครื่องโทรศัพท์ยี่ห้อโมโตโรล่า ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับโทรศัพท์ของกลาง แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเลข 0-5 และ 7-9 ทั้งที่ควรปรากฏว่าเป็นเครื่องรุ่นอื่น แต่จากการทดสอบในเว็บดังกล่าวกลับไม่ปรากฏว่าเป็นรุ่นใดเลย จึงยิ่งชี้ให้เห็นชัดว่าหมายเลข 14 หลักแรกเท่านั้นที่ใช้ในการระบุตัว ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง นอกจากนี้ เนื่องจากหมายเลขอีมี่ในคดีนี้ตรงกับหมายเลขอีมี่ของโทรศัพท์ยี่ห้อ โมโตโรล่าที่นายอำพลใช้ และรับว่าใช้อยู่ผู้เดียว จึงยากที่จะมีผู้อื่นนำไปใช้ได้ และพบว่ามีการใช้โทรศัพท์เครื่องนี้กับซิมการ์ด 2 เลขหมาย ซึ่งจากหลักฐานชี้ชัดว่า ซิมการ์ดทั้งสองหมายเลขถูกใช้ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน แต่ไม่เคยถูกใช้งานในเวลาที่ซ้ำกัน จึงเชื่อได้ว่าผู้กระทำความผิดได้นำซิมการ์ดมาสลับใช้อย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งสมมติฐานไว้ นอกจากนี้ข้อมูลการจราจรยังระบุว่าข้อความถูกส่งโดยเสาสัญญาณจากย่านที่จำเลยพักอาศัยอยู่ด้วย
                         การที่จำเลยอ้างว่า โทรศัพท์มือถือของจำเลยเสียจึงนำไปซ่อมที่ร้านในห้างอิมพีเรียลสำโรง ศาลเห็นว่าจำเลยให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน กล่าวคือ จำเลยแจ้งในชั้นจับกุมว่าโทรศัพท์มือถือเคยเสียและนำไปซ่อมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 แต่แจ้งในศาลว่านำไปซ่อมเมื่อเดือนเมษายน 2553 อีกทั้งยังจำร้านที่นำโทรศัพท์ไปซ่อมไม่ได้ ทั้งที่การนำไปซ่อมต้องไปที่ร้านถึง 2 ครั้งคือตอนนำไปซ่อม และไปรับคืน จึงถือว่าข้อมูลส่วนนี้ไม่มีความน่าเชื่อถือ ศาลเห็นว่า ข้ออ้างของจำเลยที่กล่าวอ้างว่า ส่งSMS ไม่เป็น และไม่รู้จักเบอร์โทรศัพท์ของนายสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุาการส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ นั้น มีแต่จำเลยเท่านั้นที่รู้เห็น เป็นการง่ายที่จะกล่าวอ้าง แม้โจทก์จะไม่สามารถนำสืบพยานให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าจำเลยเป็นผู้ที่ส่งข้อความตามฟ้องจากโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องดังกล่าว ไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายสมเกียรติ แต่ก็เพราะเป็นการยากที่โจทก์จะสามารถนำสืบได้ด้วยประจักษ์พยาน เนื่องจากจำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดดังกล่าวย่อมจะต้องปกปิดการกระทำของตนมิให้บุคคลอื่นได้ล่วงรู้ จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลประจักษ์พยานแวดล้อมที่โจทก์นำสืบเพื่อชี้วัดให้เห็นเจตนาที่อยู่ภายใน ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้นเวลา 10.43 น. รวมระยะเวลา 18 นาที พิพากษาให้จำเลยมีความผิดในการส่งข้อความสั้นตามฟ้อง โดยข้อความดังกล่าวมีลักษณะดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย และเป็นการใส่ความหมิ่นประมาทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงเสื่อมเสียพระเกียรติยศ ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อันเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นอกจากนี้การส่งเอสเอ็มเอสจะต้องส่งผ่านระบบคอมพิวเตอร์ก่อนประมวลผลไปถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ปลายทาง ซึ่งข้อความดังกล่าวไม่เป็นความจริง ประกอบข้อเท็จจริงเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ทรงห่วงใยประชาชนทุกหมู่เหล่า ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อปวงชนชาวไทย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการนำเข้าสู่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร จำเลยจึงมีความผิดตาม มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2551 มาตรา 14 (2) และ (3) การกระทำของจำเลยมีหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม แต่ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษหนักสุด ให้จำคุกกระทงละ 5 ปี ความผิด 4 กระทง รวมโทษจำคุกทั้งหมด 20 ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ซึ่งนั่งอยู่กับนายอำพลที่เรือนจำในห้องฟังคำพิพากษาได้กล่าว ผ่านระบบคอนเฟอร์เรนซ์ถามว่าคำพิพากษาว่าอย่างไร เพราะตลอดการฟังคำพิพากษาได้ยินเสียงไม่ชัด เจ้าหน้าที่ศาลจึงแจ้งอย่างสั้นๆ ไปว่า "ลุงติดคุก 20 ปี" ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ภายหลังฟังคำตัดสิน ครอบครัวนายอำพล ซึ่งประกอบด้วยภรรยา บุตรสาว 3 คน หลานสาว 4 คน อายุตั้งแต่ 4-11 ปี ได้เดินทางไปเยี่ยมนายอำพลที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และได้สอบถามเจ้าหน้าที่เรือนจำได้ความว่า เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไม่มีอำนาจควบคุมผู้ต้องขังที่โทษสูงกว่า 15 ปี ดังนั้นจึงต้องมีการส่งตัวผู้ต้องขังไปยังเรือนจำคลองเปรม ซึ่งเป็นที่คุมขังนักโทษเด็ดขาด ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าเยี่ยม ยกเว้นญาติและทนายความ และมีความเป็นไปได้ว่าจะย้ายภายในวันศุกร์ที่ 25 พ.ย.นี้



ที่มา : มติชนออนไลน์ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2554


แสดงความคิดเห็น>>> จากบทความข่าวที่นำเสนอนี้ ได้มีความเกี่ยวข้องการกระทำผิดและพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2551 มาตรา 14 (2)) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือเกิดให้ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน และมาตรา 14 (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา

ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี
                คอมพิวเตอร์เป็นแหล่งประมวลผลหรือให้ข้อมุลที่เป็นจริง มีไว้เพื่อเป็นแหล่งให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อที่จะให้บุคคลมาศึกษาหาความรู้ แต่บุคคลเหล่านี้ได้กระทำเอาสื่อไปใช้ในทางที่ผิด ซึ่งอาจจะทำให้ความเชื่อถือในข้อมูลที่เผยแพร่ลดลงได้แล้วยิ่งเกี่ยวความมั่นคงของชาติแล้ว จะไม่ใช่แค่คนในประเทศลดความเชื่อมั้่นบ้างแล้ว อินเตอร์เน็ตเผยแพร่ทั่วดลกอย่างทั่วถึงซึ่งจะทำให้ชาวต่างชาติอีกมากมายที่คอยเฝ้าจับตาดูเรา ถือว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรงต่อบ้านเมืองมาก

ด้านคุณธรรม จริยธรรม
                การดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นการกระทำที่คนไม่สมควรทั้งคิดและทำอยู่แล้ว แต่บุคคลนี้ไปทำการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้วยังทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนแทน ซึ่งเป็นการกระทำที่ขาดไร้จิตสำนึกอย่างมาก ไม่สมเป็นคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยเลย
                อินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้ต่างๆ และทำให้สังคมต่างๆได้รู้จักกันง่ายขึ้น พยายามเพื่อที่จะให้เป็นสังคมเดียวกัน ดั่งที่เราอยู่บนผืนโลกเดียวกัน ก็ขอให้ทุกคนใช้สื่อและเทคโนโลยีให้เป็นผลดีต่อการพัฒนาสังคมและโลกใบนี้ดี มีสุขกันดีกว่านะคะ

                                                                                                               เด็กน้อยริมหน้าต่าง.......

วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เด็กผู้หญิงริมหน้าต่างเป็นใครกันหนอ.......

                      เด็กผู้หญิงริมหน้าต่างตัวเล็กๆคนนี้เขาเป็นใครกันหนอ เขาเป็นใคร มาจากที่ไหน.....


                    สวัสดีค่ะทุกคนดิฉันชื่อนางสาวจุฑารัตน์  เกาหวาย ชื่อเล่น หญิง เกิดวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2535 เกิดเวลา 23.49 น. ที่โรงพยาบาลนครนายก มีน้องชาย 1 คน หญิงเป็นพี่สาวคนโต ถึงแม้หญิงจะเกิดที่นครนายก แต่หญิงถูกเลี้ยงดูตอนเด็กจนเติบโตที่สมุทรปราการเนื่องจากคุณพ่อทำงานที่นี่ พอหญิงกำลังจะขึ้นมัธยมคุณแม่ได้กลับไปทำธุรกิจส่วนตัวที่บ้านหญิงเลยต้องกลับมาเรียนที่นครนายก โดยเรียนโรงเรียนนครนายกวิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดพอจบชั้นม.6 หญิงก็แอดมิดชันติดคณะวิทยาศาสตร์เอกฟิสิกส์(กศ.บ.5ปี) ณ ปัจจุบันนี้หญิงก็กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3

สมัยใสๆสมัยมัธยมต้น
               ยามว่าง>>>ถ้าถามจริงๆว่ามีไหม ไม่ค่อยมีนะคะเพราะว่าที่บ้านหญิงนั้นเปิดร้านขายของโชว์ห่วยซึ่งที่บ้านก็มีหญิงกับแม่เพียง 2 คนเท่านั้น(เพราะพ่อก็ทำงานที่สมุทรปราการเสาร์-อาทิตย์กลับที)ซึ่งเวลาว่างทั้งหมดของหญิงจะใช้ไปกับการทำงานบ้าน ทำอาหารและขายของซะเป็นส่วนใหญ่ เลยไม่ค่อยมีเวลาว่างจะไปไหนกับเพื่อนคนอื่นเลย(แอบเศร้าT T) แต่ถ้าว่างเมื่อไหร่สิ่งแรกที่จะทำคือออกกำลังกายที่โรงเรียน หรือไม่ก็เล่นอิเล็คโทนซึ่งเป็นอะไรที่ทำให้ผ่อนคลายมากจริงๆ
                 นิสัยส่วนตัว>>>นิสัยส่วนตัวจะเป็นคนที่ยิ้มง่าย สนุกสนาน เฮฮา ขี้เล่น ขี้สงสารโดยเฉพาะสัตว์เพื่อนร่วมโลกทุกชนิด  ชอบแคร์สายตาคนรอบข้าง แต่ส่วนที่เป็นจุดเด่นที่สุดในตัวหญิงคือโกรธคนไม่เป็น หญิงยอมรับว่าหญิงจะถูกคนรอบข้างแกล้งทุกอย่าทั้งการกระทำและคำพูด ถึงแม้ว่าพวกเขาจะแกล้งขนาดไหนแต่ก็แทบจะไม่เคยโกรธเลย ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองตรงนี้เหมือนกัน
สมัยที่มีความน่ารัก สดใส
มากที่สุด
              ความฝัน>>>จริงๆแล้วหญิงไม่ได้ฝันที่จะเป็นครูแต่แรกแต่หญิงอยากที่จะเรียนพยาบาลเพราะว่าหญิงอยากจะช่วยคนที ลำบากกว่า แต่ท่ี่บ้านไม่สนับสนุน ก็เลยหันมาเรียนครูพอได้เรียน
 แล้วก็ไม่คิดเสียใจเลย มีความสุขมากๆและคิดว่าอาชีพครูก็สามรถ
พัฒนาเด็กไทยให้มีอนาคตที่ดีของสังคมต่อไปได้                             
               คติประจำใจ>>>ทำวันนี้ให้ดีที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดที่เราอยู่กับปัจจุบันทำปัจจุบันให้ดี อดีตมันแก้ไขไม่ได้ ส่วนเราก็ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่ ขอแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ชีวิตเราก็จะมีความสุขแล้ว
ยามว่างไปช่วยเลี้ยงเด็กอ่อน
ที่สถานผู้ประสบภัยน้ำท่วม
              เราพอจะรู้จักเด็กผู้หญิงคนนี้บ้างแล้ว แต่ถ้าอยากจะรู้จักให้มากขึ้นคอยติดตามบล๊อคเล็กบล๊อคนี้นะคะ หญิงจะมาคอยแต่งแต้มสาระ และความสนุกสนานให้ผู้อ่านได้ข้อคิดและมีรอยยิ้มนะคะ

                                                                                                               เด็กน้อยริมหน้าต่าง........